ประวัติและความเป็นมา

สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลาเป็นหน่วยงานสังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม จัดตั้ง ควบคู่กับศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๐๕ นับเป็นสถานพินิจฯแห่งแรกในภูมิภาค เดิมใช้ชื่อว่าสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดสงขลา มีภารกิจในการดําเนินงานทั้งด้านคดีอาญาและคดีครอบครัว โดยภารกิจในส่วนของคดีอาญา ได้แก่ การสืบเสาะข้อเท็จจริง เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนซึ่งมีอายุตั้งแต่สิบปีแต่ไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ ที่ต้องหาว่ากระทําความผิดเพื่อเสนอต่อศาล บําบัด แก้ไข ฟื้นฟู และให้การสงเคราะห์เด็กและเยาวชนที่กระทําผิด รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับครอบครัวและชุมชนเพื่อดูแลและป้องกันการกระทําผิดของเด็กและเยาวชน สําหรับภารกิจในคดีครอบครัว ได้แก่การพิทักษ์สิทธิ์และคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้เยาว์ เช่น ในเรื่องการรับรองบุตร คดีหย่า การทํานิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ เป็นต้น ปัจจุบันสถานพินิจฯสงขลา ตั้งอยู่เลขที่ ๑๕๐ หมู่ที่ ๕ ถนนสงขลา-นาทวี หมู่ที่ ๕ ตําบลเขารูปช้าง อําเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา รับผิดชอบในเขตพื้นที่จังหวัดสงขลา

การดำเนินงานที่ผ่านมาของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนสงขลา สามารถแบ่งออกได้เป็น ๔ ยุค ดังนี้

ยุคแรก ยุคบุกเบิก

ในระยะแรก สถานพินิจฯสงขลา เป็นสถานพินิจฯแห่งเดียวในภาคใต้ จึงต้องดูแลเด็กและเยาวชนครอบคลุมถึง ๑๔ จังหวัดภาคใต้ ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้แยกดูแลเด็กและเยาวชนใน ๗ จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง ได้แก่ สงขลา ตรัง พัทลุง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในยุคนี้เป็นช่วงของการปรับปรุงอาคารสถานที่ และวางระบบงาน บุคลากรภายใต้การนําของ นายประพิธ พิกุล ผู้อํานวยการสถานพินิจฯสงขลาคนแรก จึงต้องมีความมุ่งมั่นในการทํางาน โดยในยุคเริ่มแรกมีบุคลากรปฏิบัติงานประมาณ ๒๐ คน ประกอบด้วยผู้อํานวยการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารงานทั่วไป ๓ คน พนักงานคุมประพฤติ ๓ คน ครูสามัญ ๒ คน ช่างไม้ ๑ คน และการช่างสตรี ๑ คน ส่วนพนักงานพินิจมี 90 คน เป็นชาย ๔ คน หญิง ๒ คน มีการแบ่งงานภายใน เป็นฝ่ายคดี และฝ่ายบริหาร โดยสถานฝึกอบรมอยู่ในความดูแลของฝ่ายบริหารด้วย บุคลากรในยุคเริ่มก่อตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา ส่วนใหญ่เป็นชายผ่านการบวชเรียนมาแล้ว จึงใช้หลักธรรมในการทํางานและอบรมเด็กและเยาวชน ผ่านกิจกรรมประจําของสถานพินิจฯ ส่วนพนักงานพินิจหญิง ในช่วงเริ่มแรกมีเพียง ๒ คน ต้องผลัดเปลี่ยนกันทํางานทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่มีวันหยุด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมเจ้าหน้าที่ทั้งหญิงและชายในระยะบุกเบิกอย่างยิ่ง เนื่องจากในยุคนี้ สถานพินิจฯสงขลายังอยู่ในความดูแลของศาล จึงมีผู้บริหาร เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อธิบดีศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง คณะผู้พิพากษา ได้มาตรวจเยี่ยมให้กําลังใจกับเด็กและเยาวชนตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้น ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ได้แก่ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ และพระเจ้าหลานเธอพระองค์ เจ้าพัชรกิติยาภา ซึ่งขณะนั้นยังทรงพระเยาว์ เสด็จมาทอดพระเนตรและให้กําลังใจแก่เด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเมื่อประมาณ ปี ๒๕๓๓ ซึ่งยังคงสร้างความปลาบปลื้มให้บุคลากรของสถานพินิจฯสงขลา จนกระทั่งปัจจุบัน

                   สําหรับการจัดกิจกรรมให้เด็กและเยาวชน เน้นเรื่องการเรียนสามัญ และฝึกอาชีพ รวมทั้ง ส่งเสริมกิจกรรมกีฬา ดนตรี และจริยธรรม โดยมีกิจกรรมที่น่าชื่นชมหลายเรื่อง เช่น การนําเด็กและเยาวชนนับร้อยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาในระดับจังหวัด โดยจัดขบวนพาเหรดเดินภายในสนามกีฬาประจําจังหวัดเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่นๆ การนําเด็กและเยาวชนทั้งหมดไปวิ่งออกกําลังกายภายนอก และไปนั่งสมาธิที่เขาตั้งกวน การฝึกทักษะด้านดนตรี จนมีวงดนตรีเป็นของตนเองและไปร่วมกิจกรรมภายนอกสม่ำเสมอ ทั้งงานการกุศลและการรับงานแสดงในพิธีมงคลสมรส สําหรับการจัดกิจกรรมด้านจริยธรรม มีการจัดกิจกรรมตามวันสําคัญทางศาสนาหรือตามประเพณีต่าง ๆ และได้นําพิธีกรรมทางศาสนามาผนวกกับกิจกรรมต่างๆ เช่น ในกิจกรรมการปล่อยตัวเด็กและเยาวชน ซึ่งจะนิมนต์พระสงฆ์มาให้พรและพรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลด้วย สําหรับการจัดกิจกรรมของบุคคลภายนอกเริ่มมีองค์กรและบุคคลภายนอกเข้ามาร่วมจัดทํา กิจกรรม เช่น ผู้พิพากษาสมทบ คณะกรรมการสงเคราะห์ เรือห้องสมุดดูโรส การแสดงดนตรีของ ประเทศญี่ปุ่น และอาสาสมัครจากองค์กรเอกชนต่าง ๆ เป็นต้น จุดเด่นของสถานพินิจฯจังหวัดสงขลาในยุคนี้ คือ ความสามารถในเชิงช่าง ทั้งในเรื่องช่างไม้ ก่อสร้าง ซึ่งได้ทําโต๊ะเก้าอี้ อุปกรณ์สํานักงานไว้ใช้เองและได้ร่วมสร้างบ้านพักเจ้าหน้าที่จํานวน ๑ หลัง รวมถึงช่างหัตถกรรมซึ่งได้มีการระดมเจ้าหน้าที่ต่างช่างและต่างฝ่ายไปร่วมกันจัดทําเทียนพรรษาและพวงมาลา เข้าประกวดในวาระสําคัญต่างๆ จนได้รับรางวัลชนะเลิศอยู่เสมอ นอกจากนี้ช่างยนต์ก็ยังมีผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ การประกอบรถมินิบัสและรถอีแต๋น ซึ่ง นายประมาณ ซันซื่อ อดีตประธานศาลฎีกา ได้ซื้อรถอีแต๋นไปด้วยจํานวน ๑ คัน นอกจากความสามารถในเชิงช่างแล้ว สถานพินิจฯสงขลายุคแรกยังโดดเด่นในเรื่องของการรวมพลังของเจ้าหน้าที่ ซึ่งทุกช่าง และทุกฝ่าย จะมาร่วมแรงร่วมใจกันทํางาน ทั้งในเรื่องของการกีฬา งานหัตถกรรม และกิจกรรม ทั้งภายในและภายนอกอื่นๆ รวมทั้งการให้ใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกันระหว่างศิษย์กับครู ดังนั้น จึงปรากฏภาพของการนําเด็กหลายร้อยคนไปร่วม กิจกรรมภายนอกอยู่เสมอ โดยไม่เคยมีเหตุร้ายใดๆ

ยุคที่สอง ยุคเปลี่ยนผ่าน

เริ่มประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๙ ก่อนที่จะมีการแยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ในยุคนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของสถานพินิจฯสงขลา โดยในปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ นายวิชา มหาคุณ ผู้บริหารของศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในขณะนั้น ได้มีนโยบายในการนําแนวทางเรื่องชุมชนบําบัด (Therapeutic Community) ซึ่งเป็นกระบวนการในการเยียวยาแก้ไขฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มาใช้ในกระบวนการฝึกอบรมเด็กและเยาวชน ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นปัจจัยสําคัญที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่ายในการทํางานสหวิชาชีพเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชน ด้วยเหตุว่าแนวคิดหลักของชุมชนบําบัด ได้แก่ การส่งเสริมให้จัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เด็กและเยาวชนค้นพบศักยภาพของตนเองและพัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมบุคคลอื่น และเน้นให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นตั้งแต่การดําเนินการตัวต่อตัว กลุ่มขนาดกลางไปจนถึงกลุ่มขนาดใหญ่ เช่นการตักเตือนระหว่างเยาวชนเอง กลุ่มปรับความเข้าใจการประชุมรวมระหว่างเด็ก เยาวชนและเจ้าหน้าที่ สถานพินิจฯสงขลาซึ่งขณะนั้นยังคงอยู่ในความดูแลของศาลเยาวชนฯ จึงได้เริ่มมีการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเน้น การปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ และนําเครือข่ายภาคประชาสังคมเข้ามาร่วมดูแลเด็กและเยาวชน ทั้งในส่วนของสถานแรกรับ และสถานฝึกและอบรม ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๕๔๐ หลังจากการแยกศาลออกจากกระทรวงยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ดังกล่าว ส่งผลให้สถานพินิจฯสงขลา อยู่ภายใต้สังกัดสํานักปลัดกระทรวงยุติธรรม แต่สถานพินิจฯสงขลายังคงนําหลักการของชุมชนบําบัดมาประยุกต์ใช้ และเน้นการทํางานร่วมกับภาคประชาสังคมมากขึ้น โดยนางโสภา คําแฝง ผู้อํานวยการสถานพินิจฯสงขลาในขณะนั้น เป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการริเริ่มสร้างเครือข่ายในการทํางาน ประกอบกับมีเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งมีจิตใจอาสาที่จะทํางานเพื่อเด็ก ด้วยหัวใจที่มุ่งมั่นทีมงานเล็ก ๆ ก็สามารถพัฒนาการเรียนรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งที่ยังคุ้นเคยกับวิธีการดูแลเด็กแบบเดิม ๆ คือ การควบคุม ให้เป็นความเข้าใจและให้โอกาสเด็ก จนสามารถสร้างเครือข่ายสหวิชาชีพแนวราบได้อย่างเข้มแข็ง ควบคู่ไปกับการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชน โดยเครือข่ายของสถานพินิจฯสงขลา ได้แบ่ง เป็นสามระดับดังนี้

๑.) แกนนําที่ร่วมคิดค้นและร่วมจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น ศูนย์ศรีเกียรติพัฒน์ สงขลา ฟอรั่ม ศบอ.เมืองสงขลา โครงการมิตรภาพสู่ท้องถิ่น ซึ่งบุคคลที่เป็นแกนนําในการร่วมคิดค้นในขณะนั้นได้แก่ นางพรรณิภา โสตถิพันธุ์ ผู้อํานวยการสงขลาฟอรั่ม และทีมงานจากภาคประชาสังคม ในจังหวัดสงขลา

๒.) เครือข่ายที่ร่วมดําเนินกิจกรรมตามความสนใจ เช่น มูลนิธิสื่อชาวบ้าน (กลุ่มละคร มะขามป้อม) ศูนย์ส่งเสริมศิลปและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาลัยสารพัดช่าง สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน และอาสาสมัครภาคประชาชนต่างๆ

๓.) เครือข่ายที่สนับสนุนและเข้าร่วมกิจกรรม เช่น ผู้พิพากษาสบทบ กรรมการสงเคราะห์ สํานักงานปปส.ภาคใต้ กลุ่มนักธุรกิจในพื้นที่

จากการระดมความคิดและผนึกกําลังระหว่างหน่วยงานกับเครือข่ายดังกล่าว ได้มีการร่วมกันจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชน ๓ รูปแบบ ได้แก่

๑.) การศึกษาสายสามัญ โดยมีการสอนตั้งแต่ระดับเริ่มเรียน(ไม่รู้หนังสือ) ถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย

๒.) การศึกษาสายอาชีพ เช่น ช่างตัดผม ช่างไฟฟ้า ช่างดนตรีสากล ช่างหัตถกรรม (บาติก) และการเกษตรแบบพึ่งตนเอง

๓.) การศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งมีที่มาจากความเชื่อที่ว่า การเรียนรู้แบบสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ โดยสถานพินิจฯสงขลาได้สํารวจความคิดเห็นของเด็กและเยาวชนและได้ร่วมกันวางแนวทางจัดกิจกรรมการศึกษาตามอัธยาศัยที่สอดคล้องกับความ ต้องการของเด็กและเยาวชน ได้แก่ กิจกรรมด้านศิลปะ ห้องสมุด เสียงตามสาย กระบวนการละครเพื่อการพัฒนา และละครหุ่นเชิดมือ โดยในการจัดกิจกรรมตามอัธยาศัยสามารถดําเนินการได้ ภายใต้งบประมาณที่จํากัด เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากบุคคลและแหล่งทุนภายนอก เช่น โครงการมิตรภาพสู่ท้องถิ่น สถาบันคีนันแห่งเอเชีย สงขลาฟอรั่ม องค์การแตร์เดชอม (เยอรมัน) สํานักงาน ปปส.ภาคใต้ ศาลเยาวชนฯ คณะผู้พิพากษาสมทบ คณะกรรมการสงเคราะห์ และผู้ใหญ่ ใจดีอีกมากมาย

                   ด้วยความเชื่อที่ว่า “เด็กจะพัฒนาได้ ต้องไม่ทอดทิ้งครู” สถานพินิจฯสงขลาจึงได้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ได้เรียนรู้จากทีมวิทยากรและเครือข่ายภายนอกร่วมกับเด็ก แม้การทํางานในยุคนี้จะมีความไม่เข้าใจจากเจ้าหน้าที่ซึ่งคุ้นเคยกับรูปแบบและกระบวนการดูแลเด็กและเยาวชนแบบเดิมอยู่บ้าง แต่ก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่าบุคลากรส่วนหนึ่งที่เป็นทีมงาน ได้เป็นเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างงดงามทั้งในพื้นที่และองค์กรอื่นที่ได้ย้ายหรือโอนไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ

                   ความโดดเด่นของการทํางานในยุคนี้ คือการใช้แนวคิดเรื่องการมีส่วนร่วมทั้งของเด็กและเยาวชนและเจ้าหน้าที่ และการระดมเครือข่ายมาร่วมทํางานและสามารถให้เครือข่ายมีส่วนร่วมได้ทุกระดับ นอกจากนั้นก็ยังมีการพึ่งพาตนเองโดยการทํานาสําหรับบริโภคเพื่อแบ่งเบาภาวะวิกฤติเรื่องงบประมาณของหน่วยงานในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ (ยุคฟองสบู่แตก)

ยุคที่สาม ยุคการพัฒนา

ในช่วงปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๕๕ ขึ้น มีผลให้สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้รับการยกฐานะเป็นกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ซึ่งมีอํานาจหน้าที่และการแบ่งส่วนราชการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ส่งผลให้สถานฝึกอบรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในสถานพินิจฯสงขลา ได้รับการจัดตั้งเป็นศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๔ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ สถานพินิจฯสงขลาจึงได้ปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับการดูแลเด็กและเยาวชน ในสถานแรกรับซึ่งถูกควบคุมตัวระยะสั้นเพื่อรอการประกันตัวหรือการพิจารณาคดีของศาล โดยยัง คงมีการจัดกิจกรรมทั้งภายในและภายนอก เช่น การเรียนการสอนสายสามัญและวิชาชีพระยะสั้น กิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิตและจริยธรรม กิจกรรมด้านดนตรีและกีฬา กิจกรรมร่วมกับครอบครัว รวมทั้งการบําบัดพื้นฐานตามแนวทางของกรมพินิจฯ นอกจากนั้นยังได้ร่วมกับชุมชนต่าง ๆ ในการป้องกันการกระทําผิดของเด็กและเยาวชนด้วย

                   ในส่วนของการนํากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ เพื่อหันเหคดีของเด็กและเยาวชนออกจากกระบวนการยุติธรรม ได้มีการดําเนินการ ๒ ระดับ ได้แก่ ในชั้นสถานพินิจฯ สงขลา โดยการประชุมกลุ่มครอบครัว มีการเชิญครอบครัวเด็กและเยาวชนที่ต้องหาคดี ฝ่ายผู้เสีย หาย ชุมชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน ซึ่งสามารถหันเห เด็กและเยาวชนออกจากกระบวนการของศาลได้จํานวนหนึ่ง นอกจากนั้น ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๒ ยังได้ร่วมกับองค์การยูนิเซฟแห่งประไทย จัดทําโครงการจัดตั้งศูนย์บริการเพื่อระงับข้อพิพาทของเด็กและเยาวชน ซึ่งมีพื้นที่นําร่อง ๒ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม อําเภอหาดใหญ่ และโรงเรียนวชิรานุกูล อําเภอเมืองสงขลา โดยโครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อหาแนวทางในการจัดการปัญหาความขัดแย้งของเด็กนักเรียนด้วยวิธีการเชิงสมานฉันท์ เพื่อเป็นการป้องกันและยับยั้งไม่ให้เกิดเป็นคดีความ เช่น การไกล่เกลี่ย และฟื้นฟูความสัมพันธ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการทํางานร่วมกับครอบครัว โดยโครงการนี้สิ้นสุดเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ นอกจากนั้น ในช่วงนี้ได้มีการโอนงานสอดส่องความประพฤติหรือการติดตามความประพฤติเด็กและเยาวชนที่ศาลพิพากษาวางเงื่อนไขคุมประพฤติ ไปยังสํานักงานคุมประพฤติของแต่ละจังหวัดด้วย

                   ความโดดเด่นของการทํางานในยุคนี้คือ ได้มีการแบ่งภารกิจและบทบาทของสถานพินิจฯ ซึ่งดูแลเด็กและเยาวชนก่อนศาลมีคําพิพากษา กับศูนย์ฝึกและอบรมฯซึ่งดูแลเด็กและเยาวชนที่มีคําพิพากษาแล้วอย่างชัดเจน ส่งผลให้มีการออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับระยะเวลาในการดูแลเด็กและเยาวชน ทั้งในเรื่องของการเสริมสร้างทักษะชีวิต และการฝึกวิชาชีพ นอกจากนั้นในยุคนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญอีกประการหนึ่ง คือได้มีการนํากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ในการดําเนินงานชั้นสถานพินิจฯอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในส่วนของการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชน ในกรณีที่มีการดําเนินคดีแล้ว และการนําแนวคิดเชิงสมานฉันท์ไปขยายผลใช้ในโรงเรียนและชุมชน ซึ่งแม้จะยังไม่บรรลุเป้าหมายทั้งหมด แต่ก็เป็นการจุดประกายและเสริมการเรียนรู้ในการใช้แนวทางเชิงสมานฉันท์เพื่อแก้ไขความขัดแย้งของนักเรียนให้กับครูในโรงเรียนนําร่อง

ยุคที่สี ยุคปฏิรูป

                   ในยุคนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญต่อสถานพินิจฯสงขลา สองประการ ได้แก่ การปรับกระบวนงานเพื่อรองรับกฎหมายใหม่ และการย้ายสถานที่ทําการใหม่ ในปีพ.ศ.๒๕๕๓ ได้มีการประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ ได้แก่ พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ในกฎหมายฉบับนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญตั้งแต่กระบวนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตํารวจ การรับตัวเด็กและเยาวชนซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจจะต้องนําตัวเด็กหรือเยาวชนไปที่ศาลเพื่อตรวจสอบการจับภายใน ๒๔ ชั่วโมง การนําเด็กหรือเยาวชนเข้าสู่มาตรการพิเศษแทนการดําเนินคดีอาญา และการให้บุคคลภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล เด็กและเยาวชนอย่างชัดเจนในรูปของคณะกรรมการสหวิชาชีพ รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีรูปแบบใน การดูแลเด็กและเยาวชนที่เปิดกว้างขึ้น เช่น ศาลสามารถมีคําสั่งให้เด็กเข้ารับการบําบัดแบบเช้าไป – เย็นกลับที่สถานพินิจฯได้ เป็นต้น

                   สําหรับการย้ายสถานที่ทําการนั้น กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนได้มีการจัดสรรงบประมาณดําเนินการสร้างสถานพินิจฯพร้อมสถานแรกรับ เลขที่ ๑๕๐ หมู่ที่ ตําบลเขารูปช้าง อําเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา โดยได้รับความอนุเคราะห์ที่ดินจากเรือนจํากลางสงขลา จํานวน ๑๖ ไร่ ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หลังการก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณ ๒ สัปดาห์เศษ ได้เกิดวาตภัยในจังหวัดสงขลา สถานที่ทําการเก่าของสถานพินิจฯสงขลาได้รับความเสียหายอย่าง หนัก ต้นไม้ใหญ่โค่นล้ม ไม่มีไฟฟ้า และน้ำประปาใช้ รวมทั้งรั้วสถานที่ควบคุมถูกต้นไม้ใหญ่ล้มทับ จนพัง ไม่สามารถนําเด็กและเยาวชนลงจากหอนอนได้ สถานพินิจฯสงขลาจึงย้ายสํานักงานและ เคลื่อนย้ายเด็กและเยาวชนอย่างเร่งด่วนในวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยได้รับการสนับสนุนกําลังพลและยานพาหนะจากกองกํากับการตํารวจตระเวนชายแดนที่ ๔๓ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๕ ทัณฑสถานบําบัดพิเศษสงขลา และเรือนจํากลางสงขลา และได้เปิดทําการอย่างเป็นทางการที่สํานักงานแห่งใหม่ใน วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ซึ่งภายใต้ความไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน
สถานพินิจฯสงขลายืนหยัดได้ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย รวมทั้งเด็กและเยาวชนและเครือข่ายกัลยาณมิตร

                   ปัจจุบันสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัด แบ่งการบริหารงานภายในเป็น ส่วนอำนวยการและการจัดการ ส่วนคดี และสถานแรกรับเด็กและเยาวชน ในการจัดกิจกรรมต่างๆให้กับเด็กและเยาวชน ได้ดําเนินการตามโปรแกรมพื้นฐานของกรมพินิจฯ และได้รับการสนับสนุนการดําเนินกิจกรรมจากเครือข่ายภายนอก ทั้งที่เป็นภาคราชการและเอกชน เช่น คณะกรรมการสงเคราะห์ คณะผู้พิพากษาสมทบ สํานักงานปปส. ภาคใต้ กองกํากับการตชด.ที่ ๔๓ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา มหาวิทยาลัยมหิดล สํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ ๑๖ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา โรงพยาบาลสงขลา โรงพยาบาลจิตเวชฯ คริสตจักรสงขลา มูลนิธิเพื่อนหญิง กลุ่มละครมะขามป้อม เป็นต้น

                   สําหรับกิจกรรมเสริมสร้างทักษะชีวิตของสถานพินิจฯสงขลา พยายามเน้นความหลากหลาย และมีชีวิตชีวา เพื่อให้สอดคล้องกับช่วงวัยของเด็กและเยาวชน ซึ่งมีทั้งด้านจริยธรรม ดนตรี การพัฒนาทักษะด้านกีฬา การเสริมสร้างสันติในหัวใจของเด็กและเยาวชน รวมทั้งการสร้างแนวคิด ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีการทําผลิตภัณฑ์สมุนไพร (ยาหม่อง ยาดม น้ํามันสมุนไพร) จําหน่าย การปลูกผักสวนครัว และการผลิตน้ํายาล้างจาน สบู่ไว้ใช้เพื่อแบ่งเบาภาระของหน่วยงาน นอกจาก นั้น สถานพินิจฯสงขลายังได้มีแนวคิดที่จะจัดทําห้องสมุดในรูปแบบใหม่เพื่อเป็นพื้นที่การเรียนรู้ตาม อัธยาศัยของเด็กและเยาวชน โดยได้รับการสนับสนุนจาก ดร.อรัญญา ตุ้ยคัมภีร์ ภาควิชาจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและคณะ เนื่องจากสถานพินิจฯสงขลา ได้มีข้อค้นพบว่าการเสริมสร้างพลังและทักษะในการทํางาน ให้บุคลากรเป็นสิ่งสําคัญ จึงได้จัดให้มีการฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการคิดเชิงสร้างสรรค์และไม่ยึดติดกับกรอบแนวคิดเดิมๆ เช่น การอบรมทักษะในการจัดกระบวนการเรียนรู้ อย่างมีชีวิตชีวา การออกแบบความคิดในเชิงนวัตกรรม (design Thinking) เป็นต้น

                      ความโดดเด่นของการทํางานในยุคนี้คือ การปรับกระบวนงานเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติ ของกฎหมายฉบับใหม่ ซึ่งได้กําหนดแนวทางการดําเนินงานอย่างชัดเจนไว้ในกฎหมาย และมีการ คุ้มครองเด็กและเยาวชนมากขึ้น โดยเน้นการนําสหวิชาชีพภายนอกเข้ามาร่วมดูแลแก้ไขเด็กและ เยาวชน การทํางานในยุคนี้บุคลากรจึงต้องมีความคิดเชิงสร้างสรรค์ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง

บทสรุป

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า สถานพินิจฯสงขลาได้พยายามดูแลแก้ไขและจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมของเด็กและเยาวชนมาโดยตลอด แต่ การดําเนินงานก็ไม่ได้ราบรื่นและสําเร็จเสมอไป เนื่องจากงานของสถานพินิจฯเป็นงานปลายทาง และ การทํางานเพื่อเด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาดเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและลุ่มลึก ต้องอาศัยปัจจัยหลายด้านหนุนเสริม โดยเฉพาะปัจจัยในเรื่องครอบครัว รวมทั้งการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ได้รับการออกแบบอย่างสร้างสรรค์และมีพลังเพียงพอที่จะทําให้เด็กและเยาวชนไม่ก้าวพลาดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ที่พบในปัจจุบันก็คือ สถานการณ์การกระทําผิดของเด็กและเยาวชนในปัจจุบันยังคงรุนแรงและน่าเป็นห่วง โดยช่วงอายุของเด็กที่กระผิดน้อยลง บางคนเพิ่งจะมีอายุเพียงสิบขวบต้นๆ เท่านั้น พฤติกรรมการกระทําผิดก็รุนแรงขึ้น มีการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อระบบสมองและการเรียนรู้ การดูแลแก้ไขเด็กและเยาวชนที่ก้าวพลาดจึงอาจเกินกําลังสถานพินิจฯ ซึ่งเป็นที่พักพิงชั่วคราวของเด็กและเยาวชนจะดําเนินการได้เพียงลําพัง พลังของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ชุมชน และที่สําคัญคือผู้ใหญ่ทุกคนในสังคม จะต้องมีบทบาทสําคัญอย่างยิ่งในการช่วยกันหล่อหลอมเด็กและเยาวชนของเราให้เป็นพลังของแผ่นดิน ซึ่งสถานพินิจฯ สงขลาหวังว่าในเส้นทางการทํางานที่ยากลําบากนี้ เราจะไม่โดดเดี่ยวและมีเพื่อนร่วมทางมากมาย ที่จะช่วยกันนําพาลูกหลานของพวกเราให้เดินไปข้างหน้าอย่างผู้ตื่นรู้ และเข้าใจในชีวิตต่อไป